ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Followers

Popular Posts

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

Linkข่าว


ข่าววันนี้                http://www.value.co.th/th/news/IT_news.htm
Thaiware              http://news.thaiware.com/
Downloaddoo      http://www.downloaddoo.com/

คำเตือน!!! อันตรายจากการใช้ Copy+Paste ระวังไว้ไม่เสียหาย


คำเตือน!!! อันตรายจากการใช้ Copy+Paste ระวังไว้ไม่เสียหาย

 การใช้คีย์ลัดบนแป้นคีย์บอร์ดของเราเป็นส่วนหนึ่งที่  ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำงาน
ต่างๆของเราได้มาก   แต่ในบางกรณี ความสะดวกสบายเหล่านี้กลับต้องแลกมาด้วยความไม่ปลอดภัยเอาซะเลยเพราะฉะนั้นขอแนะนำทุกๆท่านว่า  อย่าใช้การ Copy & Paste กับข้อมูลที่มีความสำคัญเช่น หมายเลขบัตรเครดิต etc. เพราะการใช้ Ctrl+C หรือ Copy จะมีการเก็บค่าไว้ใน Clipboard ของ Windows
ซึ่งสามารถถูกอ่านผ่าน Web site ได้ด้วย Javascript + ASP

 ลอง copy text อะไรก็ได้บนเครื่องแล้วเปิด URL ต่อไปนี้ดู

หากเว็บนี้แสดงข้อความบนคลิปบอร์ดที่เราก๊อปปี้ไว้ แสดงว่าคุณยังไม่ได้ป้องกันครับ
วิธีการป้องกันง่ายๆ คือ
1. เปิด Internet Explorer ขึ้นมา, ไปยังเมนู Tools -> Internet Options -> Security
2. Click ที่ปุ่ม Custom Level
3. เปิดไปที่ Tab ที่ชื่อว่า security แล้วตั้งค่าโดยกดปุ่ม Custom Level..., แล้วหาคำว่า “Allow Paste Operations via Script.” จากนั้นเลือกที่ Disable เพื่อป้องกันการถูกล้วงข้อมูลจากคลิปบอร์ดของท่าน

(เปิดเว็บนั้นๆ ด้วย FireFox และ Opera ไม่พบปัญหาดังกล่าวนะครับ แต่ IE โดนแน่ๆ ป้องกันไว้ดีกว่าต้องมาน้ำตาตกทีหลังนะครับ)




เขียนโดย : นางสาวตรึงจิต มูฮัมมัดสะมัน 53116940130

17 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับ Hard Disk

                       มีความเชื่อ ต่างๆ นานาเกี่ยวกับ HDD.และการใช้งาน HDD.ซึ่งเป็นความเชื่อบางอย่างที่มันเป็นความเชื่อ
ที่ผิดๆ และทำให้เราไม่สามารถใช้งาน HDD. ได้อย่างเต็มที่ เรามาดูกันว่าความเชี่อเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร


ความ เชื่อที่ 1 :
การฟอร์แมต HDD.บ่อยๆ อาจทำให้อายุการใช้งานของ HDD.สั้นลง

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมต HDD.ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของ HDD.แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนจะคิดว่ามีส่วนทำให้อายุการใช้งานสั้นลง แต่จริงๆ แล้ว เป็นความเชื่อที่ผิดๆ เท่านั้น
การฟอร์แมต HDD. ไม่ถือเป็นการทำงานที่จะทำให้ HDD.ต้องแบกรับภาะหนัก หัวอ่านของ HDD.จะไม่มีการสัมผัสกับแผ่นจานข้อมูลแต่อย่างใด (Platter) ระหว่างการฟอร์แมต
สรุปแล้วก็คือ เราสามารถฟอร์แมต HDD. 30 ครั้งต่อวัน ทุกวันเลยก็ได้ อายุการใช้งานมันก็จะไม่ต่างจากจาก HDD. อื่นๆ เลย


ความ เชื่อที่ 2 :
การฟอร์แมต HDD.จะทำให้มีข้อมูล หรือปฎิกรณ์ ;อะไรสักอย่าง
วางซ้อนเพิ่มบนแผ่นดิสก์ ซึ่งมีผลทำให้เกิด;bad sector ได้

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมตจะไม่ทำให้เกิดข้อมูล หรืออะไรทั้งนั้นที่แผ่น HDD. เนื่องจาก HDD.เป็นระบบปิด ดั้งนั้นฝุ่นหรือปฏิกรณ์จะ ยากที่จะเข้าไปยังดิสก์ได้ และแม้จะมีฝุ่นก็ตามแต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฝุ่นจะต้องมากับการฟอร์แมต


ความ เชื่อที่ 3 :
การฟอร์แมต HDD. จะมีความเค้นต่อเข็มหัวอ่าน (head actuator) สูง

ข้อเท็จจริง : การฟอร์แมตมีการอ่านในแต่ละเซ็กเตอร์อย่างต่อเนื่อง และเป็นลำดับชั้น เช่น เซ็กเตอร์ที่ 500 เซ็กเตอร์ที่ 501 เซ็กเตอร์ที่ 502 และต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ทำให้มีการเคลื่อนตัวของเข็มหัวอ่านน้อยมาก ดังนั้น ข้อเท็จจริงของความเชื่อนี้ก็คือ การฟอร์แมตจะไม่มีความเค้นสูงต่อเข็มหัวอ่าน HDD.


ความเชื่อที่ 4 :
การดีแฟรกเมนต์ (defragmenting) HDD.จะมีความเค้นที่หัวอ่านสูง

ข้อ เท็จจริง : ข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องจริง เพราะการดีแฟรกเมนต์ต้องอาศัยการควานหาตำแหน่งของเซ็กเตอร์อย่างสูง เนื่องจากการดีแฟรกเมนต์ก็คือการจัดระเบียบเซ็กเตอร์ต่างๆ เพื่อไม่ให้หัวอ่านต้องทำงานหนักเวลาที่ใช้หาข้อมูลในการใช้งานจริง
ดัง นั้น แม้ในกระบวนการดีแฟร็กเมนต์ จะทำให้เข็มหัวอ่านมีความเค้นสูงก็ตาม แต่หลังจากที่ได้ทำการดีแฟรกเมนต์แล้ว เข็มหัวอ่านก็ไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนก่อนที่จะทำการดีแฟรกเมนต์ เพราะจะหาเซ็กเตอร์ได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น


ความ เชื่อที่ 5 :
ถ้า HDD.ของคุณมี bad sector อยู่แล้ว การฟอร์แมต HDD.จะยิ่งทำให้
เกิดเซ็กเตอร์เสียเพิ่มขึ้น

ข้อเท็จจริง : ถ้า HDD. ของคุณมีเซ็กเตอร์เสียอยู่แล้ว แน่นอนว่าเมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ จะต้องพบเซ็กเอตอร์เสียเพื่มขึ้นเรื่อยๆ
การฟอร์แมตแล้วเห็นเซ็กเตอร์ เสียเพิ่มขึ้นนั้น สาเหตุไม่ได้เป็นเพราะการฟอร์แมต เพียงแต่ว่าการฟอร์แมตจะทำให้เราได้พบเห็นเซ็กเตอร์ที่เสียเพิ่มขึ้นนั่นเอง เพราะยูทิลิตี้สำหรับทำการฟอร์แมตนั้น จะสแกนและตรวจสอบ HDD.ด้วย ทำให้พบเห็นเซ็กเตอร์ที่เสียเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา


ความเชื่อที่ 6 :
การ ดาวน์โหลดโปรแกรมและไฟล์ต่างๆ จากอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก จะทำให้
อายุการ ใช้งานของ HDD.สั้นลง

ข้อเท็จจริง : การดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตไม่ทำให้อายุการใช้งานของ HDD.ลดน้อยลงไป HDD.จะมีการหมุนอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะมีการดาวน์โหลดไฟล์ หรือว่าไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ดังนี้โอกาสที่จะเสียขณะทำการดาวน์โหลด กับขณะที่เปิดคอมพิวเตอร์ไว้เฉยๆ ก็มีเท่ากัน อายุการใช้งานท่าเดิม


ความ เชื่อที่ 7 :
พลังงาน (กระแสไฟ) ที่ไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเซ็กเตอร์เสีย

ข้อเท็จจริง : กระแสไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ กับกระแสไฟฟ้าถูกตัดทันทีทันใด จะไม่ก่อให้เกิดเซ็กเตอร์เสีย เพราะในช่วงที่กระแสไฟไม่เพียงพอ หรือมีการตัดกระแสไฟนั้น เข็มหัวอ่านจะพักตัวโดยอัตโนมัติเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อแผ่นดิสก์ ดังนั้น จึงไม่มีทางที่จะมีการสร้างเซ็กเตอร์เสียได้ ที่เสียหายก็อาจเป็นความเสียหายของ OS.มากกว่า


ความเชื่อที่ 8 :
ระบบ กำลังไฟ หรือระบบสำรองไฟที่มีราคาถูก และไม่มีคุณภาพ อาจจะบั่นทอน
อายุ การใช้งานของ HDD.เรื่อย ๆ และทำให้ HDD.ตายลงอย่างช้า ๆ

ข้อเท็จ จริง : ระบบกำลังไฟหรือระบบสำรองไฟที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน จะไม่ทำให้ HDD.ตายลงอย่างช้าๆ แต่หากระบบไม่สามารถควบคุมกระแสไฟได้ จนทำให้กระแสไฟฟ้าปริมาณมากไหลทะลักสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
อาจทำให้ HDD.ตายในทันที ไม่ใช่ตายลงอย่างช้า ๆ
แต่ถ้าไม่สามารถให้กระแสไฟเพียง พอแก่การทำงานได้ ดิสก์ก็แค่มาสามารถทำงานได้เต็มที่ ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ หรืออาจไม่ทำงานเลย แต่ HDD.จะไม่ ตาย แต่ OS อาจตายหรือ พิการ


ความเชื่อที่ 9 :
ถ้า HDD. มีการหมุนความเร็วของดิสก์แบบขึ้นๆ ลงๆ นั่นเป็นเพราะว่า
ระบบสำรองไฟใน บางครั้งสามารถส่งกระแสไปที่พอสำหรับการทำงานได้
มันจึงหมุนเร็วขึ้น แต่เมื่อมันไม่สามารถให้กระแสไฟที่เพียงพอได้ มันจึง
หมุนช้าลง

ข้อ เท็จจริง : ในกรณีที่กำลังไฟตกฮวบ มันจะทำให้ระบบทั้งหมดถูกตัดไฟ ชะงักการทำงาน และจะทำให้เครื่องแฮงก์ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีการหมุนของ HDD.ให้เห็นอย่างแน่นอน
หมุนเร็วขึ้นหมุนลดลงนั้น เป็นการการปกติของ HDD. ที่จะทำการวัดขนาดของดิสก์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเตรียมความพร้อมในการใช้งานแต่ละครั้ง




ความ เชื่อที่ 10 :
เสียงคลิกที่ได้ยินจาก HDD. เกิดจากการพักการทำงานของหัวอ่าน

ข้อเท็จจริง : เสียงคลิกที่ได้ยินจากการทำงานของ HDD. อาจเป็นได้ทั้งเสียงการเตรียมพร้อมที่จะเขียนข้อมูล (เหมือนอย่างในความเชื่อที่ 9) หรืออาจเป็นเสียงการสะดุดของหัวอ่านบนแผ่น HDD.


ความเชื่อที่ 11 :
เข็มหัวอ่านใช้มอเตอร์ในการทำงาน ซึ่งการทำงานของมอเตอร์นี้
อาจล้มได้หากมีการใช้งานมากเกินไป

ข้อ เท็จจริง : เข็มหัวอ่านในปัจจุบัน ไม่มีการใช้มอเตอร์ในการทำงานแต่อย่างใด ดังนั้น ก็ไม่มีมอเตอร์ที่จะล้มเหลวเมื่อมีการใช้งานมากเกินไป
สมัยก่อน นั้น เข็มหัวอ่านเคยใช้มอเตอร์เดินไปยังตำแหน่งที่ต้องการ แต่ปัจจุบัน เข็มหัวอ่านใช้ระบบ Voice Call Mechanism ซึ่งก็คือการใช้แรงแม่เหล็กไฟฟ้าในการเคลื่อนหัวอ่านไปตามตำแหน่งที่ต้องการ


ความเชื่อที่ 12 :
การจอดพักของหัวอ่าน ทำให้มอเตอร์เข็มหัวอ่านเสื่อมเร็ว

ข้อเท็จจริง : ก็เหมือนกับความเชื่อข้อที่ 11 นั่นคือไม่มีมอเตอร์ นอกจากนี้การจอดพักการทำงานของหัวอ่าน HDD. นั้นจะมีขึ้นโดยอัตโนมัติในกรณีที่กระแสไฟถูกตัด หรือ HDD. หยุดการทำงาน ดังนั้นการจอดพักนี้ ไม่ใช่กระบวนการที่มีการทำงานบ่อย หรือที่มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง
เข็มหัวอ่านจะมีสปริงคอยควบคุมตำแหน่ง ของมัน เมื่อมีกระแสไฟเข็มหัวอ่านก็จะอยู่ในตำแหน่งที่มีการต้านแรงของสปริง และเมื่อไม่มีกระแสไฟ เข็มหัวอ่านก็จะถูกดันให้อยู่ในตำแหน่งจอดพัก ดังนั้น แม้ว่าเข็มหัวอ่านจะมีมอเตอร์ลี้ลับนี้จริง การจอดพักของเข็มหัวอ่านก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้มอเตอร์ดังว่ามี การ
เสื่อมแต่อย่างใด


ความเชื่อที่ 13 :
ดิสก์จะมีการหมุน เร็วขึ้นเวลาที่มีการอ่านหรือเขียนข้อมูลเท่านั้น
แต่จะหมุนลดลงเมื่อ HDD .ไม่มีกิจกรรม (idle)

ข้อเท็จจริง : แผ่นดิสก์ภายใน HDD. หรือที่เรียกว่า platter นั้นมีการหมุนในความเร็วระดับเดียวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการ อ่าน เขียน หรือ พัก (idle) ยกเว้นแต่เจ้าของเครื่องใช้คำสั่งให้มีการหมุนลดลงในช่วง idle เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน


ความเชื่อที่ 14 :
การหมุนลดลงจะทำ ให้ลดความเค้นที่มอเตอร์ขับเคลื่อนแผ่นดิสก์ได้

ข้อเท็จจริง : โดยปกติแล้วแผ่นดิสก์จะเริ่มหมุนตอนเครื่อง startup และจะหมุนอยู่อย่างนั้นจน shutdown ในช่วงที่มีการหมุนอยู่นั้น ถือเป็นช่วงที่มีความเค้นสูงสุดต่อตัวมอเตอร์แล้ว ส่วนการรักษาความเร็วของการหมุนให้คงที่นั้น จะใช้กำลังน้อยลงมา
หากมี การใช้คำสั่งให้แผ่นดิสก์หมุนลดลงในช่วง idle นั้น ทุกครั้งที่มีการเขียน หรืออ่านไฟล์ใด ๆ ก็จะต้องมีการหมุนเพื่อให้เร็วขึ้นเพื่อให้ได้ความเร็วปกติ ก่อนที่จะอ่านหรือเขียนได้ ดังนั้น ควรที่จะให้ดิสก์มีการหมุนที่ความเร็วคงที่ตลอด เพื่อลดความเค้นที่ตัวมอเตอร์


ความเชื่อที่ 15 :
การตัดกระแสไฟ อย่างทันทีทันใดอาจทำให้เกิดเซ็กเตอร์เสีย

ข้อเท็จจริง : เซ็กเตอร์เสีย หรือ bad sector นั้น ไม่ได้เกิดจากการปิดหรือการดับเครื่องอย่างทันทีทันใด แต่เมื่อสมัยก่อนนานมาแล้ว ก่อนปิดเครื่องทุกครั้ง ผู้ใช้จะต้องพักจอดหัวอ่าน HDD.ก่อนที่จะสามารถปิดเครื่องได้ แต่ปัจจุบัน ระบบหัวอ่านแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะทำการจอดพักตัวเองโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่กระแสไฟฟ้าถูกตัดจากระบบ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เกิดความเสี่ยงว่าจะเกิด bad sector จากกรณีการตัดกระแสไฟ


ความเชื่อที่ 16 :
เซ็กเตอร์เสียบางอัน เป็นเซ็กเตอร์เสียแบบเวอร์ชัวล์ (คือเป็นที่ซอฟต์แวร์ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์)
และ สามารถแก้ไขได้โดยการทำฟอร์แมต HDD.

ข้อเท็จจริง : เซ็กเตอร์เสียแบบเวอร์ชัวล์ไม่มีอยู่จริง เซ็กเตอร์ที่เสียนั้น คือเซ็กเตอร์(หรือช่องอันเป็นส่วนหนึ่งของดิสก์สำหรับการเก็บข้อมูล) ที่ไม่สามารถทำการอ่านหรือเขียนได้ เนื่องจากมีการเสียหารทางกายภาพ เช่น ถูกทำลาย หรือทีการเสื่อมลง ดังนั้น จึงไม่สามารถซ่อมแซมด้วยกระบวนการทางด้านซอฟต์แวร์ได้


ความเชื่อที่ 17 :
เซ็กเตอร์เสีย สามารถถูกลบได้โดยการฟอร์แมต HDD.

ข้อเท็จ จริง : การฟอร์แมตในระดับต่ำ จะสามารถทดแทนเช็กเตอร์เสียด้วยเซ็กเตอร์ดีได้ โดยอาศัยพพื้นที่ว่างสำรองบน HDD. อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ HDD. ก็จะลดลงเนื่องจากหัวอ่านจะต้องทำการค้นหาพื้นที่สำรองบน HDD.ด้วย อีกทั้งพื้นที่สำรองบน HDD.นั้นมีจำนวนจำกัด ?
สรุปแล้ว bad sector ก็คือ สัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องบางอย่างของ HDD. แม้ bad sector นั้นจะเกิดจากการชนของหัวอ่าน (crash) เพียงครั้งเดียว แต่ซากที่เหลือจากการชนครั้งนั้น รวมทั้งหัวอ่านที่อาจได้รับความเสียหาย อาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อไปในอนาคตได้ เช่น อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนแผ่นดิสก์เพิ่มมากขึ้น หรืออาจทำให้ความเร็วในการหมุน หรือการอ่านลดลง

ดังนั้น ถ้ามีข้อมูลที่สำคัญที่ต้องการเก็บรักษาไว้อย่างมั่นคง ควรหัดทำการแบ็คอัพข้อมูล และเปลี่ยน HDD.เมื่อพบว่ามีปัญหาบางอย่าง เช่น การค้นพบ bad sector เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่า HDD.จะสามารถทำงานได้ต่อไป และนานๆครั้งจะพบว่าเกิด bad sector เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือสัญญาณบอกว่า HDD. ของคุณมันใกล้ตายแล้วครับ


เขียนโดย : นางสาวตรึงจิต มูฮัมมัดสะมัน 53116940172

10เหตุผลที่คนรักแอนดรอยด์ (Android)



10เหตุผลที่คนรักแอนดรอยด์ (Android)

แม้แอนดรอยด์ (Android) จะเพิ่งเกิดมาได้แค่ 16 เดือน นอกจากจะเป็นชนวนที่ทำให้เกิดรอยร้าวของความสัมพันธ์ระหว่างกูเกิ้ล (Google) และแอปเปิ้ล (Apple) จนถึงขั้นแตกหักแล้ว มันยังเป็นโมบายโอเอสที่มีอัตราการเติบโตที่น่าตื่นเต้นอีกด้วย อีกทั้งยังมีมือถือค่ายต่างๆ นับสิบรายที่กระโดดลงมาเล่น สร้างความคึกคักให้ตลาดได้ไม่น้อยเลยทีเดียว นี่ไม่นับรวมถึงแท็บเล็ต และอีรีดเดอร์บางรุ่นในตลาด เรียกว่าแอนดรอยด์กลายเป็นโอเอสขวัญใจแก็ดเจ็ตไฮเอ็นด์ราคาประหยัดไปแล้วก็เห็นจะไม่ผิด




ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากพูดถึงสมาร์ทโฟนวันนี้ทุกคนต้องยกนิ้วให้ไอโฟน (iPhone) ทีเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง แต่ก็แน่นอนว่า มันไม่ใช่ความบังเอิญที่แอนดรอยด์กลายมาเป็นตัวเลือกของผู้ใช้ไปแล้วในวันนี้ แม้กระทั่งล่าสุด ผู้ใช้ BlackBerry ประมาณ 40% เผยความในใจว่า อยากอัพเกรดไปใช้ไอโฟน หรือไม่ก็เน็กซัสวัน (Nexus One) ประเด็นก็คือ อะไรทำให้ผู้ใช้เริ่มสนใจมือถือแอนดรอยด์ เราลองมาดูเหตุผลทั้ง 10 ข้อนี้ดูบางทีคุณอาจจะเปลี่ยนใจจากไอโฟนมาใช้แอนดรอยด์ก็ได้
1. ขุมพลังกูเกิ้ลในอุ้งมือคุณ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม กูเกิ้ลเกือบจะเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว เพราะแทบจะเป็นทุกอย่างที่เกียวข้องกับชีวิตผู้คนบนโลกอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น เสิร์ช จีเมล์ กูเกิ้ลด็อคส์ กูเกิ้ลแมพ ฯลฯ ซึ่งการหลอมหลวมส่วนติดต่อผู้ใช้งานโอเอสเข้ากับบริการทั้งหมดของกูเกิ้ลนั่นก็เท่ากับผู้ใช้แอนดรอยด์โฟนสามารถทำกิจกรรมออนไลน์ได้ทุกอย่างที่ต้องการทันที เพียงแค่ใช้นิ้วสัมผัสเบาๆ เท่านั้น 
2. App Store ที่เน้นแอพฯที่ผู้ใช้ต้องการ ในขณะที่ Apple Store มีแอพพลิเคชันให้เลือกนับแสนรายการ (ประมาณ 5 เท่าของแอนดรอยด์) ต่อให้แอนดรอยด์เร่งเท่าไรก็ไม่มีทางไล่ตามได้ทันอย่างแน่นอน แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ แต่อยู่ที่เรื่องของคุณภาพต่างหาก ไอโฟน (iPhone) อาจจะมีแอพฯสารพัดนึกให้คุณดาวน์โหลดไปใช้ แต่ส่วนใหญ่เป็นแอพฯเพื่อความบันเทิงมากกว่า ที่สำคัญมันมีรูปแบบการทำงานที่ซ้ำๆ กันอีกด้วย ในขณะที่แอพพลิเคชันที่จะสามารถไปโผล่ใน Apple App Store ได้ จะต้องผ่านเด่านคุมเข้มมากมาย ทำให้แอพฯ ของบางรายที่อาจจะหน้าตาไม่ค่อยสะสวย แต่นิสัยดีมาก หมดสิทธิ์เข้าไปอยู่ในร้าน ก็เลยต้องหันมาซบอกแอนดรอยด์ ซึ่งผลลัพธ์ทำให้ผู้ใช้แอนดรอยด์พบว่า มันมีแอพพลิเคชันบางตัวที่ดีกว่าที่มีอยู่ในแอปเปิ้ล เพราะสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการคือแอพฯที่ตอบโจทยฺ์การใชังานมากกว่าแอพฯที่มีมากมาย แต่หาที่ใช่ไม่เจอ 
3. อิสระเรื่องเครือข่าย กูเกิ้ลไขก๊อกให้กับผู้ใช้มือถืแอนดรอยด์ด้วยการเปิดกว้างให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใดก็ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ปิดทางตัวเองสำหรับการทำตลาดร่วมกับโอเปอเรเตอร์ ซึ่งประเด็นนี้ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลว่า ซิมที่มีอยู่แล้วจะใช้กับแอนดรอยด์โฟนได้ หรือไม่ แค่นี้ตัวแปรในการตัดสินใจเลือกใช้แอนดรอยด์ก็ลดน้อยลงไปอีกหนึ่งข้อแล้ว
4. ราคาถูกกว่า สำหรับผู้ใช้ที่อยากได้สมาร์ทโฟนทีมีสเป็ก และสภาพแวดล้อมการใช้งานไม่หนีจากผู้นำตลาดอย่างไอโฟนในราคาที่เอื้อมถึงได้ แอนดรอยด์โฟนคือ คำตอบสุดท้าย ด้วยราคาถูกกว่าครึ่ง แต่ตอบโจทย์ได้ใกล้เคียงกับความต้องการของคุณ โดยเฉพาะผู้ใช้ที่ต้องการฟังก์ชันโฟนมากกว่าแฟชั่นโฟนด้วยแล้ว แอนดรอยด์คือทางเลือกของการลงทุนที่เหมาะกับกระเป๋าสตางค์ของคุณ
5. โอเอสระบบเปิด ข้อดีของการเป็นโอเอสระบบเปิดนอกเหนือจากการตรวจสอบดูแล และอัพเดตระบบที่รวดเร็วแล้ว ความเป็นอิสระในการใช้งานถือเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ ตัวอย่าง เช่น คุณไม่จำเป็นต้องโหลดโปรแกรม iTunes เพื่อให้มือถือของคุณสามารถโหลดไฟล์เพลง ภาพยนต์ เข้าไปในเครื่องได้เหมือนไอโฟน เป็นต้น
6. ความสามารถในการทำหลายงาน (Multitasking) ประเด็นของข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแอนดรอยด์กับไอโฟนก็คือ ความสามารถในการทำหลายงานพร้อมกัน หากคุณต้องการใช้มือถือเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก แอนดรอยด์ตอบโจทย์การใช้งานได้ตรงความต้องการของคุณมากทีสุด ในขณะที่แอปเปิ้ลไม่ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้ด้วยเหตุผลทีว่า ทำทีละอย่าง ระบบจะทำงานได้รวดเร็ว ลื่นไหล และปลอดภัยกว่า แต่นั่นก็ต้องแลกกับความสุขในการใช้มือถือของผู้ใช้ หากคุณสมบัตินี้ไม่สำคัญ มันคงไม่มีข่าวออกมาหรอกว่า คุณสมบัติข้อแรกๆ ที่ต้องม่ีใน iPhone 4.0 OS ก็คือ multitasking
7. Cloud computing แทนที่คุณจะเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้บนมือถือ วันนี้คุณสามาถซิงค์มันเข้ากับคอมพิวเตอร์ทีให้บริการบนเน็ตได้ นั่นหมายความว่า คุณไม่จำเป็นต้องนำโน้ตบุ๊กอีกเครื่องหนึ่งติดตัว เพื่อคอยซิงค์ข้อมูลล่าสุด แต่เปลี่ยนเป็นการซิงค์กับคอมพิวเตอร์บนเน็ตแทน ซึ่งแอนดรอยด์เกิดมาเพือการให้บริการในลักษณะนี้ คุณสามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้ทุกที่ทุกเวลา 
8. คีย์บอร์ด หรือไร้คีย์บอร์ด เป็นที่ถกเถียงกันตลอดเวลาว่า ผู้ใช้ต้องการคีย์บอร์ดแบบปุ่มสัมผัส QWERTY หรือหน้าจอสัมผัสกันแน่ สำหรับแอนดรอยด์แล้ว ไม่เกี่ยงเพราะตอบโจทย์ตามความต้องการของทั้งสองกลุ่มอยู่แล้ว ใครชอบแบบไหน แอนดรอยด์ก็เซิร์ฟความต้องการได้
9. กล้องถ่ายรูปพร้อมแฟลช ผู้ผลิตแอนดรอยด์โฟนหลายราย นอกจากจะผลิตมือถือที่มาพร้อมกับกล้องดิจิตอลความละเอียดสูงแล้ว ยังมาพร้อมกับแฟลช LED อีกด้วย ซึ่งทำให้แอนดรอยด์โฟนหลายๆ รุ่นสามารถใช้ถ่ายรูปในที่มืดได้  
10. ไม่ใช่ของโหล ข้อนี้อาจจะฟังดูตลก แต่เชื่อว่า หากคุณเป็นผู้ที่ต้องการความต่างไม่เหมือนใคร ที่พอควักมือถือออกมาไม่ไอโฟน ก็แบล็คเบอรี่แล้วล่ะก็ แอนดรอยด์โฟน คือสิ่งที่คุณต้องการ จริงอยู่ที่ในโลกนี้ยังมีมือถือให้เลือกใช้อีกมากมาย แต่หากจะว่ากันตามกระแสความสนใจ และความแรงของสมาร์ทโฟนแล้ว แอนดรอยด์โฟนเป็นตัวเลือกที่ไม่พูดถึงไม่ได้เสียแล้ว






เขียนโดย : นางสาวจันทนา  คงทองประเสริฐ  53116940135


การใช้งาน GPS


การใช้งาน GPS

     น่า เสียดายที่ แอนดรอยด์ในตอนนี้ตัว hardware มี GPS รองรับใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้งานกับโปรแกรมที่รองรับเป็นหลัก เช่นพวก Digital Compass หรือ โปรแกรมสนุกๆต่างๆอย่าง Air Paint แต่ทว่าโปรแกรมการนำทางแบบ Turn by turn บนเครื่อง แอนดรอยด์แบบจริงๆจังๆสำหรับเมืองไทยยังไม่มี ( หมายถึงที่แถมมาพร้อมกับเครื่อง ) ในอนาคตในแอนดรอย์เวอร์ชั่น 2.0 จะมี Google map ตัวใหม่ออกมารองรับการทำงานแบบ Turn by turn ด้วยแต่ว่าในตอนนี้ทาง Google เองยังไม่มีนโยบายรองรับประเทศไทยสำหรับ service ตัวใหม่นี้







เขียนโดย : นางสาวพนิดา สุขแจ่ม 53116940165

ข้อเสียของ แอนดรอยด์


ข้อเสียของ แอนดรอยด์

     

  1. การ Sync ข้อมูลสามารถทำได้เฉพาะ Contact กับ Calendar เท่านั้น
  2. หากไม่ใช่เครื่องยี่ห้อ HTC อาจจะไม่มีโปรแกรมตัวกลางช่วยในการ Sync เพราะหากเป็น HTC จะใช้ HTC Sync แต่หากเป็นยี่ห้อดังๆอื่นๆก็คงน่าจะมีของเค้าเอง แต่หากเป็นเครื่องมาจากจีนพวกโนเนม สงสัยจะลำบาก
  3. การทำงานของเครื่องจะ ต้องเชื่อมต่อ GPRS ไว้ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมากที่จะต้องกังวลเพราะมันมีโปรแกรมปิดการทำงานได้ แล้วครับ เหมือนเปิดปิด WiFi
  4. การใช้งานพวกไฟล์เอกสาร MS Office นั้น สามารถเปิดดูได้ทั้ง Word และ Excel แต่ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรในเอกสารได้ ( หมายถึงโปรแกรมที่แถมมาพร้อมกับเครื่อง ไม่นับพวกโปรแกรมเสริม ซึ่งต่างกับ Windows Mobile ที่โปรแกรมมาตราฐานสามารถทำงานได้ดีกว่า)
  5. การแก้ไขระบบ หรือการอัพเดทตัวระบบโดยส่วนใหญ่จะมีการควบคุมจากทาง Google
  6. เครื่องที่ใช้ระบบปฎิบัติการ แอนดรอยด์ แต่ละยี่ห้อ จะมี service ของ Google ที่แถมมาให้แตกต่างกันไป บางเครื่องอาจจะไม่มี Google map / Gmail หรือ Market
  7. การทำงานของแอนดรอยด์เน้นการใช้นิ้วเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเมนูต่างๆออกแบบมาสำหรับการใช้นิ้ว รวมถึงหน้าจอเครื่องส่วนใหญ่เป็นแบบ Capacitive Touchscreen ใช้ Stylus จิ้มไม่ได้ นอกจากเครื่อง HTC Tattoo เพียงรุ่นเดียวที่ทำได้
  8. โปรแกรมการใช้งาน GPS แบบ Turn by turn ยังไม่มีเป็นเรื่องเป็นราว (หมายถึงที่แถมมาพร้อมกับเครื่อง)
เขียนโดย : นางสาวเอื้อมพร  สืบเผ่าพันธ์ 53116940130

ทิศทางของแอนดรอยด์ในตลาด


ทิศทางของแอนดรอยด์ในตลาด


แม้ว่า แอนดรอยด์จะเป็นระบบแบบ open source ก็ตามแต่ก็ใช้ว่ามันจะเป็นเครื่องราคาถูกแบบเครื่องโนเนม มันมีข้อตกลงและข้อจำกัดซ่อนเร้นอีกเยอะทำให้เครื่องทุกวันนี้มันราคา ไม่ได้ถูกไปเหมือนอย่างที่เราคิดในตอนแรก เพราะในแง่คนขายเอง เค้าเองจะต้องต่อสู่กับข้อตกลงและข้อบังคับสารพัดจากทาง Google ซึ่งมีข้อบังคับที่น่าแปลกใจหลายๆส่วน เช่นง่ายๆการ อัพเกรดต่างๆแม้แต่การจะบรรจุอะไรลงไปใน ROM จะต้องมีการขออนุญาตกับทาง Google ซึ่งระบบจะมีการติดต่อกับทาง Google ตลอดแม้แต่การอัพ เฟริมแวร์ หากจะอัพก่อนวันที่เค้ากำหนดเครื่องก็จะไม่สามารถอัพผ่านไปได้
จุด ขายของเครื่องแอนดรอยด์ในตลาดเวลานี้ นอกจากเรื่องของ Spec Hardware แล้ว เรื่องที่ใช้เป็นกลยุทธ์ในการทำตลาดก็คือเรื่องของ UI เพราะเครื่องแต่ละยี่ห้อจะมี UI ที่พํฒนากันเอง ใครจะเจ๋งกว่ากันก็วัดกันตรงนี้แหละครับ และเรื่องของโปรแกรมพวก PC Conduit เป็นโปรแกรมที่ใช้เป็นตัวกลางในการ Sync กับ PC ซึ่งโดยปกติแล้ว เครื่องในระบบอื่นๆ เช่น Windows mobile จะมี Active sync หรือ iTune ของ iPhone ซึ่งจะมีมาให้จากโรงงาน แต่สำหรับแอนดรอยด์ไม่มีครับ ทำให้บริษัทผู้ผลิตเครื่องต้องพัฒนากันเอง เช่น HTC จะมี HTC Sync  แอนดรอยด์ตอนนี้เนื้อหอมสุดๆ เพราะสังเกตจากข่าวรายวันในต่างประเทศจะมีแต่ข่าวเครื่องแอนดรอยด์เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ขอบอกว่ามันเป็นระบบปฎิบัติการที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็แล้วกัน แต่มันเป็นระบบที่หากหลายๆคนได้มีโอกาสสัมผัสอาจจะชอบมันก็ได้ ตัวผมเองแรกๆเมื่อสัมผัสในเวอร์ชั่นแรกๆรู้สึกเบื่อกับข้อจำกัดของมัน ที่ไม่สามารถปรับแต่งได้มาก แต่พอได้ลองเครื่องที่มี UI ที่ดีขึ้นทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นมาก เพราะ Default UI ของระบบ แอนดรอยด์เอง แม้ว่าจะใช้ง่าย เข้าใจง่าย แต่ใช้แล้วไม่ถูกใจ ไม่มันส์เอาเสียเลย



เขียนโดย : นางสาวเอื้อมพร  สืบเผ่าพันธ์ 53116940130


แนะแนวการเลือกซื้อ Android


แนะแนวการเลือกซื้อ Android

   จะซื้อ Android รุ่นไหนดีคะ ?”    “ระหว่าง 2 รุ่นนี้จะซื้อรุ่นไหนดีครับ ?”

   “Android รุ่นไหนที่น่าซื้อบ้างครับ ?”         “ Android รุ่นนี้ดีมั้ยครับ ?”





และอีกมากมาย คำถามเหล่านี้จัดอยู่ในคำถามยอดฮิตอันดับต้นๆที่สามารถตอบได้ทุกวันเลยทีเดียว ด้วยความที่ android มีให้เลือกหลายรุ่น หลายยี่ห้อมาก และแต่ละเครื่องก็ดันมีเสปกรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันมันก็เหมือนๆกับการที่เราเลือกใช้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่แต่ละเครื่องจะมีเสปกที่ไม่เท่ากันนั่นแหละ
แต่กับมือถืออันดรอยด์แล้วนั้น กลับมีปัจจัยในการเลือกที่มากและยากกว่าการเลือกซื้้อคอมพิวเตอร์หรือ Notebook สักเครื่องนึงเสียอีกเพราะอะไรก็เพราะว่าการเลือกซื้ออันดรอยด์นั้นไม่ได้เจาะจงดูแต่ความเร็วซีพียู แรม ความจุฮาร์ดดิสก์หรือยี่ห้อ เพียงแค่นั้น แต่ต้องดูรายละเอียดต่างๆที่มากกว่านั้นไปอีกหนึ่งขั้น เช่น ประเภทของหน้่าจอ ความละเอียดของหน้าจอ การซัพพอร์ตของซอฟแวร์ ส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ภายใน (เช่นพวกเซนเซอร์ต่างๆ) และอีกมากมาย ความเสถียรภาพของเฟิร์มแวร์ซึ่งแต่ละยี่ห้อหรือแต่ละรุ่นนั้นก็กลับไม่เหมือนกันอย่างที่มาตรฐานของวงการ PC เลย หรือที่เรียกกันว่าปัญหา Fragmentation นี่แหละ จึงทำให้มีปัจจัยอีกเยอะแยะมากมายในการเลือกที่ต้องอาศัยการศึกษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป  นี่คือความยุ่งยากของผู้ใช้อันดรอยด์ในการเลือกซื้อ เพราะการเลือกซื้อนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแบบการเลือกแค่ระหว่างมือถือและแท็ปเล็ตอย่าง Ipad ,Iphone (หลายๆคนตัดปัญหาโดยการซื้อ Iphone4 ไปเลย เลือกง่ายดี ฮ่าๆ)
วันนี้ก็เลยจะมาพูดถึงวิธีการเลือกซื้อมือถือ Android ให้ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดกัน

     สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนที่จะทราบว่าจะซื้อ Android รุ่นไหนดี นั่นก็คือ "ความต้องการของเรา"  แน่นอนเมื่อเรารู้ว่าเราต้องการจะซื้อมือถือเครื่องนี้มาทำอะไร หรือมีเหตุผลในการเลือกซื้ออย่างไร รูปทรงความสวยงามต้องการใช้งานแบบใด ? หรือแม้แต่ราคา ต้องการให้มันตอบสนองอะไรบ้าง เมื่อรู้ว่าเราต้องการอะไรแล้ว ก็ค่อยมาดูข้อมูลในการตัดสินใจกันอีกที ในกระทู้นี้ได้จะรวบรวมข้อมูลในการตัดสินใจไว้อย่างพอสังเขป

1. ขนาด
คุณต้องรู้ก่อนว่า คุณต้องการสิ่งของที่ขนาดเท่าใด เล็กหรือใหญ่ ต้องการความสะดวกในการใช้งานหรือต้องการความสะดวกในการพกพามากกว่า เช่น ระหว่าง Galaxy Tab กับ Galaxy S นั้น ราคาเท่ากัน ซีพียูความเร็วเท่ากัน ความสามารถในการใช้งานก็ใกล้เคียงกัน แต่ด้วยขนาดที่แตกต่างกันจะทำให้การใช้งานที่ได้นั้นแตกต่างกัน
Galaxy Tab อาจจะเหมาะสำหรับการท่องอินเตอร์เน็ตมากกว่าการโทร สำหรับคนที่ต้องการใช้ความสามารถของสมาร์ทโฟนแต่นำมาใช้ในแง่ของแท็ปเล็ต ส่วน Galaxy S แม้จะสามารถเล่นเว็บเบราเซอร์ได้เหมือนกับ Galaxy Tab แต่การใช้งานในการท่องอินเตอร์เน็ตเป็นหลักก็คงไม่สะดวกเท่ากับ Galaxy Tab แต่ถ้าคุณต้องการความสะดวกในการพกพาเป็นหลัก ก็คงต้องเลือกทีขนาดที่เล็กกว่าอย่าง Galaxy S เป็นต้น

2. การใช้งาน
     ถ้าหากว่าขนาดไม่ใช่เรื่องที่คุณแคร์ การพกการจะไม่ใช่เรื่องในการตัดสินใจของคุณ คุณก็อาจจะต้องดูที่การใช้งานเป็นหลักก็ได้ ตามสิ่งต่างๆดังนี้

 2.1  ท่องอินเตอร์เน็ต
   ถ้าคุณต้องการท่องอินเตอร์เน็ตเป็นหลักโดยไม่มีปัจจัยอื่นๆเช่นด้านความสะดวกในการพกพาแล้ว คุณควรจะเลือกมือถือที่มีหน้าจอใหญ่ เช่น 4 นิ้วขึ้นไป หรือสำหรับคนที่ไม่เน้นโทรอาจจะเปลี่ยนไปใช้แท็บเล็ตอย่าง 7 นิ้ว หรือ 10 ไปเลยและถ้่าเป็นมือถือก็ควรเลือกความละเอียดที่หน้าจอค่อนข้างสูงหน่อย โดยควรมีความละเอียดระดับ WVGA หรือ 800x480 pixel เป็นอย่างต่ำ เพราะยิ่งความละเอียดมากๆ ก็จะยิ่งทำให้อ่านสบายตา และแน่นอนขนาดที่ใหญ่ก็จะยิ่งทำให้คุณท่องอินเตอร์เน็ตได้สะดวกขึ้นมาก

2.2  ใช้ทางด้านติดต่อสื่อสาร
     ถ้าคุณจะใช้งานด้านการติดต่อสื่อสารเป็นหลัก เช่น โทร เข้า ออก เช็คเมลล์ ติดต่องานแต่ยังต้องการความสะดวกในการพกพาแล้ว ควรเลือกมือถือขนาดกลางๆ เช่น 3.2-4 นิ้ว เพราะขนาดกำลังพอเหมาะกับที่จะสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกและยังคงความสามารถที่สมาร์ทโฟนมีอยู่ไว้เหมือนเดิม หรือถ้าเน้นพิมพ์ข้อความ ส่งเมลล์บ่อยๆหรือแม้กระทั่ง Social Network ก็ควรเลือกชนิดที่มีฮาร์ดแวร์คีย์บอร์ดด้วยก็ทำไห้การพิมพ์ทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น
2.3 ใช้งานด้านมัลติมีเดีย
   คงมีคนอยู่ไม่น้อยที่ต้องการ Android มาตอบสนองด้านความบันเทิงเป็นหลัก เช่นการเล่นเกมส์ ดูคลิปวีดีโอระดับ 720p หรือ 1080p Full HD เป็นต้น ซึ่งการตอบสนองด้านมัลติมีเดียและบันเทิงนี่ละครับ ที่ต้องการเสปกของ Android ในระดับที่ค่อนข้างสูง และราคาที่ค่อนข้างแพงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น
 -  การเล่นเกมส์
   ถ้าคุณต้องการเล่นเกมส์เป็นอาชีพ มือถือที่ใช้ซีพียู Nvidia Tegra2 คือมือถือที่คุณใฝ่หาในปัจจุบัน เพราะจะมีเกมส์ระดับ HD ที่ภาพสวยโฮกอยู่ที่เป็นแบบ exclusive เฉพาะสำหรับซีพียูตัวนี้อยู่มากมาย ที่เรียกกันว่า Tegra Zone นั่นเอง ซึ่งเจ้า Tegra 2  นี้มันมีความสามารถให้การประมวลผลด้าน 3D ที่สูงเกือบจะที่สุดในจำนวนมือถือที่วางขายอยู่เลย (**บางวิธีการเรนเดอร์เท่านั้นและอยู่ที่การ optimize ของแต่ละเครื่องด้วย)


ตารางแสดงความสามารถด้านการเล่นเกมส์ของแอพ smartbench 2011
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า tegra 2 มีประสิทธิภาพสูง


แต่เจ้า Tegra 2 ก็ยังมีข้อเสียอยู่อย่างก็คือจะไม่สามารถเล่นไฟล์ที่ใช้ codec H264 ชนิดที่รายละเอียดสูงๆ(High profile)ได้ดี เพราะ cpu ไม่รองรับการถอดรหัสบางประเภท บางครั้งจึงต้องใช้ Softwere Codec ผ่านแอพแทนก็จะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร จุดนี้ขอไม่ลงลึกในรายละเอียด เดี๋ยวจะ geek เกิน สรุปให้ฟังว่า tegra 2  นั้นเล่นวีดีโอไฟล์ขนาดใหญ่ๆที่ความละเอียดสูงๆได้ไม่เก่งนั่นเอง(แต่ไม่ได้แปลว่าจะเล่นได้ไม่ดีทุก codec  พวก DivX, XviD ยังคงเล่นได้ดีอยู่)


 คลิป Asus Eeepad Tranformer เล่นไฟล์ 1080p

เหตุผลนี้จึงทำให้ Tegra 2 อาจจะยังตอบสนองด้านมัลติมีเดียทุกรูปแบบได้ไม่ดีเยี่ยมเท่าที่ควร แต่ถ้าทางด้านเล่นเกมส์อย่างเดียวละก็ ของเค้าที่หนึ่งจริงๆ


คลิปเกมส์ใน Tegra zone


แต่เอาจริงๆแล้ว Tablet หรือ Smart Phone แต่ละเครื่องก็ไม่ได้จะสามารถเล่นไฟล์หลากสกุล หลาก codec ได้ดีทั้งหมดอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างเช่น Ipad ก็ยังต้องอาศัยการแปลงไฟล์หรือใช้แอพที่มี Software Codeช่วยในการเล่นไฟล์อยู่ดี
     ส่วนรุ่นที่ใช้ CPU Tegra 2 ก็มีมากมายในตลาด เช่น Motorola Atrix , Asus Tranformer , Optimus 2X และบรรดา Honeycomb Tablet ทั้งหลาย และล่าสุดที่กำลังจะวางจำหน่ายในงาน TME ก็คือ Wellcom A100 มือถือแบรนด์ไทยนั่นเอง
 ดูคลิปวีดีโอ
     นี้คือข้อได้เปรียบของทางฝั่ง Android  เพราะมีความสามารถในการ drag & drop สามารถโยนไฟล์จากคอมพิวเตอร์ลงสู่เครื่องได้ทันที และสามารถซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ได้ทุกเครื่อง ทำให้หลายๆคนนิยมในการเลือกตอบสนองด้านการดูหนัง ดูคลิปวีดีโอมากกว่า แถมในหลายๆเครื่องก็ยังมี Hardware Codec หรือซีพียูที่รองรับการถอดรหัสวีดีโอของแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ทำให้สามารถจะโยนไฟล์หลากสกุลเข้าเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการแปลงไฟล์  ซึ่งหลายๆคนคงจะเคยนำคลิปวีดีโอที่มีความยาวเป็นชั่วโมงมาแปลงเพื่อที่จะให้โทรศัพท์หรือแกดเจ็ตของเราเล่นได้มาแล้ว และคงรู้กันดีว่าขั้นตอนการแปลงไฟล์นั้นไม่รื่นรมณ์เท่าไหร่ นอกจากจะยุ่งยากแล้ว ยังใช้เวลาที่นานพอๆกับเวลาที่เราใช้ดูคลิปนั้นกันเลยทีเดียว(แล้วแต่ความเร็วในการแปลงไฟล์ของซีพียูคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง)
     ในเวลาที่เราจำเป็นต้องเดินทางและมีเวลาในการเตรียมตัวกำจัด การที่ซีพียูของมือถือหรือแก็ดเจ็ตเหล่านั้นรองรับการถอดรหัสไฟล์ที่หลากหลายก็จะทำให้ยิ่งได้เปรียบในการถ่ายโอนข้อมูลและเคลื่อนย้ายไฟล์ยิ่งขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาในการเตรียมและสะดวกในการลงไฟล์วีดีโอเพื่อรับชมมากกว่า
รุ่นที่มีฮาร์ดแวร์ codec ติดมาเลยก็เช่นพวก Galaxy S , Galaxy Tab , Galaxy Player เป็นต้น รุ่นพวกนี้จะสามารถเล่นไฟล์วีดีโอที่ใช้ Codec แบบ MP4 , DivX, XviD, H.264, H263 แบบ HD (ประเด็นนี้อาจจะมีบทความเจาะลึกในภายหลัง) ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงไฟล์ และไม่ต้องลงแอพประเภทที่มี Software codec ด้วย เพราะมันสามารถเล่นได้โดยกำเนิดอยู่แล้ว ทำให้มีความสามารถในการเล่นคลิปวีดีโอที่หลากหลายและการตอบสนองด้านการเล่นคลิปวีดีโอทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว

3. ราคา
     ปัจจัยสุดท้ายก็คือราคา ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าเราไม่มีปัจจัยทางด้านราคาแล้ว เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องตัดสินใจใดๆในการเลือกซื้อเลยก็ได้ เห็นรุ่นไหนถูกใจตรงตามความต้องการก็สามารถซื้อได้ทันที ซึ่งบางครั้ง สิ่งที่สมบูรณ์แบบตรงใจเราที่สุด และมีความสามารถที่ครบครันอาจจะต้องใช้งบประมาณที่แพงขึ้นไปด้วย และเมื่อเรามีงบประมาณที่ไม่พอก็อาจจะต้องเลือกสิ่งที่คิดว่าเราต้องการมากที่สุดในการใช้งานเท่าที่งบประมาณเราจะมีอยู่ หลายๆคนก็ใช้สิ่งนี้เป็นการตัดสินใจเป็นหลัก

"ดูงบประมาณก่อน แล้วค่อยดูความต้องการ"
    หลักการในการเลือกซื้้อในกรณีที่อยากได้ของที่ตรงใจที่สุดในราคาที่น้อยที่สุดเพราะใครๆก็อยากได้ของที่เลิศเลอเพอร์เฟกต์ทั้งนั้น (แม้จะหาได้ยากในโลกใบนี้ก็ตาม) ซึ่งของดีในราคาถูก(มากๆ) (ส่วนใหญ่) มักไม่ค่อยมี และของที่ราคาถูกกว่าก็คงจะดีได้ยากกว่าของที่แพงกว่า ตรงจุดนี้ละครับที่เราจะต้องมาหาคำตอบ ซึ่งคำตอบไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย มันอยู่ในความต้องการของเราตังหากละ หลายๆครั้งเราถึงต้องการที่จะตัดสินใจระหว่าง ของที่คุ้มค่าคุ้มราคา หรือของที่เราต้องการแต่แพงเกินราคา

     ดังนั้นเราจึงต้องใช้หลักการ ดูงบประมาณก่อนแล้วค่อยมาดูความต้องการนั่นเอง ถ้าเราตั้งงบไว้ต่ำเกินกว่าความต้องการที่เราอยากได้ นั่นก็อาจจะหารุ่นที่ตรงกับใจได้ยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลย เช่น
 - ตั้งงบ 5000 บาท แต่อยากเล่นเกมส์เฟสบุ๊คได้
 - ตั้งงบ 3000 บาท แต่อยากเล่นเกมส์ HD ได้
 - งบ 8000 บาท แต่อยากได้วัสดุดีๆ
 - งบ 9000 บาท อยากได้การ์ดจอแรงๆ แต่ไม่อยากได้เฮาส์แบรนด์ เป็นต้น

     ดังนั้นก็ควรจะทราบถึงข้อกำจัดในด้านปริมาณและด้านคุณภาพด้วย และถ้าไม่ต้องการลดความต้องการก็ควรจะเพิ่มงบประมาณด้วย ถึงจะสามารถเป็นไปได้

     สำหรับกรณีที่งบประมาณจำกัดและไม่ต้องการเพิ่มงบประมาณแล้วก็ต้องลองตัดสินใจดูระหว่างความต้องการในด้านต่างๆ เพราะในเมื่อเรามีงบจำกัด เราก็จำเป็นที่จะต้องลดความต้องการบางอย่างที่น้อยที่สุดออกไปด้วย เช่น
- ตั้งงบ 10,000 บาท ต้องการ เล่นเกมส์ HD , flash playerได้ ,เล่น video call ได้ , เป็นอินเตอร์แบรนด์

     ถ้าความต้องการที่น้อยที่สุดคือ เล่น video call ได้ ก็อาจจะเลือก Motorola Defy ที่พอจะเล่นเกมส์ HD ได้ เป็นอินเตอร์แบรนด์ สามารถเล่น flash player ได้ และลดความต้องการในส่วนของการเล่น Video call ได้ออกไป

     กรณีที่ความต้องการน้อยที่สุดคืออินเตอร์แบรนด์  ความต้องการก็จะเหลือแค่  เล่นเกมส์ HD , flash player ได้ , เล่น video call ได้ ซึ่งถ้า requirement เป็นเช่นนี้ในงบไม่เกิน 10000 ก็คงจะต้องเลือก Wellcom a99 เท่านั้น เพราะราคาที่ต่ำกว่าหมื่นพวก Galaxy Cooper จะไม่สามารถรองรับ flash player และ video call ได้ เป็นต้น

     ถ้าในกรณีที่คุณไม่ซีเรียสเรื่องกล้องหน้าเพื่อการ video call แต่ยังคงอยากได้เครื่องแรงๆในราคาถูกๆแล้วละก็ Xperia Mini , Mini Pro จะเป็นตัวเลือกใหม่ที่ดีของคุณ (อย่าสับสนกับ x10 mini , mini pro นะครับ เพราะมันจะคนละตัว คนละเสปกกันเลย Xperia Mini นี่แรงกว่าเยอะ) เพราะตัวนี้เป็นมือถือที่ราคาไม่ถึงหมื่นแต่ได้การ์ดจอ adreno 205 ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Xperia Arc เลยทีเดียว เพียงแต่จะได้หน้าจอที่เล็กกับความละเอียดที่น้อยหน่อยนั่นเอง (3 นิ้ว)

     แต่ถ้ายังไม่สามารถเลือกได้กับตัวเลือกที่จำกัดในงบประมาณเท่านี้ได้ อาจจะต้องเพิ่มงบประมาณในการซื้อขึ้นไปอีกสัก1-2 พันบาทแล้วตัวเลือกก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย อาทิเช่น LG optimus black , Nexus S เป็นต้น
     สุดท้ายถ้างบประมาณของคุณไม่จำกัด คุณก็ควรจะมองมือถืออันดรอยด์ระดับ Hi-end ไปเลยอย่างพวก Galaxy S2 , HTC Sensation , Optimus 3D ฯลฯ ซึ่งมือถือพวกนี้จะใช้อุปกรณ์ภายในที่ค่อนข้างคุณภาพดี ส่วนประกอบต่างๆที่ต้นทุนสูง มีความเร็วในการใช้งานสูง ใช้ซีพียูแบบ Dual Core และการ์ดจอแรงๆที่จะตอบสนองการใช้งานในทุกด้านได้ดีขึ้น

     ทั้งหมดนี้คือกรณีตัวอย่างของวิธีคิดในการเลือกตัดสินใจระหว่างความต้องการของตัวเองกับปัจจัยหลายๆอย่าง เพื่อให้ได้ผลในการที่จะเลือกซื้อ Android สักเครื่องให้ได้อย่างตรงใจของผู้ซื้อมากที่สุดจริงๆ


เขียนโดย : นางสาวพนิดา  สุขแจ่ม 53116940165
      

วิธีการ uninstall แอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์


วิธีการ uninstall แอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์
ผู้ที่ใช้แอนดรอยด์หลายท่านคงเคยเจอปัญหาพื้นที่ไม่พอในบางครั้งที่ลงโปรแกรมหรือเกมต่างๆ ทางแก้เบื้องต้นคือต้อง remove หรือทำการ uninstall โปรแกรมบางตัวที่ไม่ใช้ออกไปบ้าง วันนี้จะมาแนะนำวิธีการ uninstall โปรแกรมที่เราไม่ต้องการออกไปจากเครื่องครับ จากตัวอย่างเช่น เครื่อง Samsung Galaxy S ในการทดสอบ ซึ่งมือถือแอนดรอยด์รุ่นอื่นๆ ก็จะมีพื้นฐานการใช้งานคล้ายๆ กัน
1.อันดับแรกเข้าไปที่ Menu ของเครื่องแล้วเลือก Setting จะเจอหน้าจอประมาณนี้ก็เลือกไปที่ Applications


2.หลังจากเลือกไปที่ Applications และจะเจอหน้าจอตามรูปก็เลือก Manage applications


3.หลังจากเลือกไปที่ Manage applications ก็จะเจอรายการแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่เราลงไว้ในเครื่องซึ่งในที่นี้จะลบ Kaspersky ออกก็เลือกเลย


4.หลังจากเลือกที่แอพพลิเคชั่นที่เราต้องการจะลบแล้ว จะเจอหน้าจอนี้ก็เลือกที่ Uninstall เลย


5.ระบบจะถามอีกครั้งเพื่อความชัวร์ ถ้าแน่ใจว่าจะลบแล้วก็กด OK ได้เลย


6. เรียบร้อยระบบทำการลบแอพพลิเคชั่นที่เราไม่ต้องการออกไปแล้ว





เขียนโดย : นางสาวจันทนา  คงทองประเสิรฐ 53116940135

ระบบปฎิบัติการ Android คืออะไร


ระบบปฏิบัติการ Android
Android คือ ระบบปฏิบัติการ ที่สร้างและพัฒนาโดย Google โดยสร้างอยู่บนฐานของ ระบบ Linux Kernel 2.6
ระบบปฏิบัติการ (OS)
ระบบปฎิบัติการ (OS) คือ โปรแกรมที่ควบคุมระบบการทำงานและจัดสรรลำดับการทำงาน ของอุปกรณ์ต่างๆ เปรียบได้กับ Microsoft Windows บนคอมพิวเตอร์นั่นเอง
ประวัติของ Android
ช่วงแรกเริ่มนั้น Android ถูกพัฒนาโดย Android Inc. ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆ ใน Palo Alto ในรัฐ California ช่วง กรกฏาคม 2005 บริษัท Google ตัดสินใจ เข้าซื้อกิจการ รวมทั้งบุคลากรทั้งหมด เพื่อมาพัฒนาต่อโดยให้ แอนดี้ รูบิน (Andy Rubin) ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Android Inc. เข้ามาเป็น
หัวหน้าทีมพัฒนาโครงการ 
Android นั้นถูกพัฒนาอย่างเงียบๆ และไม่เป็นที่สนใจของผู้คนโดยทั่วไป
จนกระทั่ง ธันวาคม 2006 มีข่าวว่า Google จะขยายตลาด Search Engine โดยส่งมือถือเข้ามาแข่งขันในตลาดด้วย ทำให้เกิดกระแสข่าวลือ ต่อเรื่องนี้ในวงกว้าง ช่วง กันยายน 2007 นั้น Google จึงได้เชิญแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมชม ผลงานชิ้นใหม่” ซึ่งไม่มีการเปิดเผย ว่ามันเป็น ผลงาน” อะไร หรือด้านไหน
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2007 นั้น Google ร่วมมือกับพันธมิตร จำนวน 34 บริษัท จัดตั้งองค์กร Open Handset Alliance เพื่อร่วมมือกันพัฒนา มาตรฐานเปิดสำหรับอุปกรณ์พกพา และเปิดตัว ระบบปฎิบัติการ Android เป็นครั้งแรก
จนวันที่ 22 ตุลาคม 2008 จึงเปิดจำหน่าย T-Mobile G1 หรือ HTC Dream โทรศัพท์รุ่นแรก ที่ใช้ ระบบปฏิบัติการ Android ของ Google
รุ่นต่างๆ ของ Android
หลังจากที่บริษัท กูเกิ้ล ได้ซื้อบริษัท แอนดรอยด์และได้มีการก่อตั้งสมาคม OHA (Open Handset Alliance) เป็นที่เรียบร้อย ทางกูเกิ้ลก็ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ขึ้นมาเป็นลำดับ โดยพอสังเขป ได้ดังนี้
วันที่ออก
Version Number
ชื่อ Version
Noted
สัญลักษณ์
2011-OCT
4.0
Ice Cream Sandwich
รวม Gingerbread และ Honeycomb เป็น OS เดียวกันสำหรับมือถือและ Tablets
19 ตุลาคม 2554 (SDK)
3.2
Honeycomb
รองรับ Tablet เท่านั้น และเพิ่มความสามารถในการรองรับ Tablets ขนาด 7
22 กุมภาพันธ์ 2554 (SDK)
3.0 / 3.1
Honeycomb
OS แรกที่ทำมาสำหรับ Tablets ซึ่งรองรับแค่หน้าจอ 10" / 8.9" เท่านั้น รองรับบางรุ่นเท่านั้น (iPad จีน มักไม่ค่อยเจอเพราะทาง Android ไม่ปล่อย Open Source ณ ขณะนั้น และติดสัญญา License)




6 ธันวาคม 2553 (SDK)
2.3
Gingerbread
พัฒนา soft keyboard
20 พฤษภาคม 2553 (SDK)
2.2
Froyo
ทำให้สามารถรองรับ Adobe Flash
26 ตุลาคม 2552 (2.0)
12 มกราคม 2553 (2.1 SDK)
2.0 / 2.1
Eclair
Geolocation
พัฒนาบน Linux Kernel 2.6.29


15 สิงหาคม 2552 (SDK)
1.6
Donut
พัฒนาบน Linux Kernel 2.6.29
30 เมษายน 2552
1.5
Cupcake
พัฒนาบน Linux Kernel 2.6.27
9 กุมภาพันธ์ 2552
1.1
branch name unknown,
backnaming Banana bread

23 กันยายน 2551
1.0
branch name unknown,
backnaming it Apple Pie

ข้อจำกัดของแอนดรอยด์
แอนดรอยด์ที่ดีนั้นจะต้องมี GMS ซึ่งก็จะต้องขึ้นอยู่กับกูเกิลว่าผู้ผลิตเครื่องไหน สามารถสำเอา GMS ไปใช้ได้บ้าง โดยจะต้องได้รับการยอมรับ และอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษร จากผู้ถือสิทธิบัตรซึ่งก็คือ กูเกิล เสียก่อน หลังจากนั้นจึงจะเผยแพร่ได้ หากแต่เป็นการเผยแพร่ในเชิงพัฒนาหรือแจกฟรีนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ทางกูเกิลอนุมัติก็ได้ ส่งผลให้อุปกรณ์บางรุ่นถูกจำกัดความสามารถในการใช้งาน แต่อย่างไรก็ตามภายใต้ GNL สิทธิบัตร จึงเป็นการเปิดโอกาศให้มีการพัฒนาได้อย่างอิสระ ทำให้ข้อจำกัดต่าง ๆ หมดไป เมื่อมีคนใช้ก็ย่อมมีคนแก้ ยิ่งใช้เยอะยิ่งมีคนช่วยแก้เยอะ 


เขียนโดย : นางสาวจันทนา  คงทองประเสริฐ  53116940135